Asian Stamp Rare

Tuesday, 24 June 2014

Agarwood caused by nature means ไม้หอมกฤษณาที่เกิดโดยธรรมชาติหมายถึง

Agarwood caused by nature meansไม้หอมกฤษณาที่เกิดโดยธรรมชาติ หมายถึง


หากเราตีความหมายว่าไม้หอมกฤษณาที่ได้จากธรรมชาติอย่างผิดๆ พ่อค้า เจ้าหน้าที่รัฐยังได้ผลประโยชน์มหาศาล ผลที่ตามมา ป่าไม้ในธรรมชาติก็ถูกทำลาย ผู้คนที่มีอาชีพสร้างสวนสร้างป่าและประชาชนอีกจำนวนมากไม่ได้รับผลประโยชน์จากไม้หอมดังกล่าว ที่ผ่านมาไม่นานนี้ มีประชาชนหลายคนที่ต้องหมดทรัพย์สิ้นจำนวนมากมายไปกับคดีความทางกฎหมาย อันด้วยมาจากการตีความหมายที่ผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ เป็นผลดีต่อพ่อค้าจากแดนใต้ สุดท้ายชาวต่างประเทศทั่วโลกก็ได้อนิสงค์เช่นกัน

ภาพแมลงเจาะรูตามธรรมชาติ 

ไม้หอมกฤษณาจากธรรมชาติไม่จำเป็นต้องได้มาจากป่าธรรมชาติเสมอไป เพียงแต่เราสามารถสร้างมันให้พื้นที่นั้นมีสภาพและองค์ประกอบหลายด้านภายใน ต้นไม้สูงใหญ่เนื้อแข็งสลับซับซ้อนด้วยไม้ผลหลากชนิด หรือที่เรียกกันว่า     

                                                        เชิงซ้อนนั่นเอง      แมลงเจาะรูตามธรรมชาติ 

ที่สำคัญควรมีต้นไม้ใหญ่เช่นสะเดาเพื่อช่วยให้กิ่งสะเดาหักโค้นลงมาตีลำต้นของต้นไม้หอม และภูมิอากาศที่ชื้นเพื่อช่วยสร้างแมลงกัดกินต้นไม้หอมด้วย

Penetration caused by insects Cause is natural wood. When we came into the refining of natural wood.

When put into a natural wood distillation. It will be an expensive perfume.

The introduction of natural wood to produce many kinds of medicines.

Spa and massage the smell of myrrh as a natural body.

            
Popular natural wood into the burning smell in the multi-religious cult.

Bringing myrrh, aloes natural to carving. Religious statues

In ancient times, myrrh, aloes, often leading to the temple kept seeing. Based on trust


Ingredients used as a cure for colds, fever and dizziness.

สินค้าส่งออกไปยังประเทศจีน เพื่อนำไปเข้าเครื่องยาจีน และสร้างสิ่งมงคล

สินค้าส่งออกไปยังประเทศกลุ่มอาหรับเพื่อใช้ป้องกันแมลง ไรจากทะเลทราย

สินค้าส่งออกไปยังยุโรป เพื่อผลิตหัวน้ำหอม

สินค้าส่งออกไปยังปรเทศอินเดีย เพื่อไว้ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา

สินค้าส่งออกไปยังประเทศไต้หวัน


สินค้าส่งออกไปยังทวีปอเมริกาเพื่อผลิตยารักษา
ประเทศไทยนำมาผลิตยารักษาโรคทางเดินหายใจ ไข้หวัด

มาเลเซียและอินโดนีเซียนำไปผลิตน้ำหอม และอื่นๆ

สมุนไพรของไทยที่หายาก ทวีปอเมริกานำยาไปใช้

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2557ที่ผ่านมา คุณเจสัน เททโทร นักจุลชีววิทยา (Microbiology) และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขอนามัยประจำหนังสือพิมพ์ ฮัฟฟิงตันโพสต์ ได้เขียนบทความที่ทำให้ “คนไทยในอเมริกา” อย่างผมถึงขั้น “ตัวพอง” ด้วยความปลิื้ม...

บทความของเขาตั้งชื่อว่า Revisiting An Age-Old Thai Therapy to Relieve Diarrhea (ศึกษาการรักษาอาการท้องร่วงแบบโบราณของไทย) ซึ่งในที่นี่เขาเจาะจงไปที่ “ยากฤษณากลั่น ตรากิเลน” ของห้างโอสถสภาเต็กเฮงหยู... ยาไทยโบราณที่คนสมัยใหม่อาจไม่รู้จักแล้ว...

เขาเริ่มต้นบทความโดยการบรรยายถึงอาการของโรคท้องร่วง ว่ามันทำให้ชีวิตของมนุษย์เรายุ่งยากลำบากมานาน แถมเป็นความยุ่งยากที่มนุษย์เราทุกคนต้องเจอกันโดยเฉลี่ยสามครั้งต่อปีเสียด้วย

สาเหตุของอาการท้องร่วงมีมากมาย เช่นติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย พยาธิ แพ้ยาหรือแพ้อาหาร มีผลให้เซลล์ในลำไส้เกิดอาการไม่สมดุล และร่างกายจะพยายามรักษาตัวเองโดยการขับน้ำในร่ายกายเข้าไปในลำไส้ ผลก็คืออาการท้องเสียถึงขั้นถ่ายเป็นน้ำอย่างที่เรารู้ๆ กัน

คุณเจสัน เททโทร บอกว่าสำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว อาการท้องร่วงถือเป็นเพียงแค่ “ความไม่สะดวกสบายชั่วคราว” ที่จะหายไปเอง แต่ก็มีเป็นจำนวนมากที่ถึงขั้นต้องนอนซมเป็นวันๆ หรือเป็นสัปดาห์ หรืออาจถึงขั้นมีอันตรายต่อชีวิตเลยก็มี โดยเฉพาะในกรณีของเด็กทารกที่เสี่ยงกับอาการขาดน้ำแบบเฉียบพลัน (dehydration) ซึ่งอันตรายมาก โดยบทความบอกด้วยว่า ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาบางแห่ง อาการของโรคท้องร่วง คือหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เด็กอายุต่ำกว่าห้าขวบเสียชีวิต

ความพยายามในการหาทางป้องกันและรักษาโรคท้องร่วงนั้น คุณเจสัน เททโทร บอกว่ามีมานานประมาณ 50 ปีแล้ว โดยวิธีรักษาที่เช่ื่อกันว่าง่ายและได้ผลมากที่สุดคือการให้ผู้ป่วยดื่มของเหลวประเภทเกลือแร่ เพื่อชดเชยน้ำและสารอาหารต่างๆ ที่สูญเสียไป นอกจากนี้ยังนิยมใช้ “เคมี” ประเภทต่างๆ มาใช้ในการรักษาโรคท้องร่วงอีกหลายชนิด ตั้งแต่ยาสีชมพูประเภท bismuth subsalicylate (เช่น Pepto-Bismol) หรือยาแก้ท้องเดินประเภท loperamide (เช่น Imodium), ยาปฏิชีวนะ และล่าสุดที่มีการนำมาใช้คือ ยาประเภทโปรไบโอติก (probiotics) โดยเฉพาะชนิดที่มีส่วนผสมของแลคโตบาซิลลัส หรือแบ๊คทีเรียชนิดมีประโยชน์ ซึ่งสาวยาคูลท์แนะนำให้คนไทยเรารู้จักมานานแล้ว....

เรื่องของคุณเจสัน เททโทร ทวีความน่าสนใจมากขึ้นเมื่อเขาเริ่มพูดถึงความพยายามเสาะหาการแพทย์ทางเลือกของบรรดานักวิชาการแพทย์กลุ่มเล็กๆ ที่พยายามหาวิธีรักษากับโรคร้ายต่างๆ รวมถึงโรคท้องร่วงผ่าน ‘วัฒนธรรม’ หรือ ‘ประเพณี’ ที่ถ่ายทอดต่อๆ กันมาแต่โบร่ำโบราณ ทั้งของอเมริกาและประเทศต่างๆ ซึ่งศัพท์วิชาการเรียกการแพทย์แบบนี้ว่า การแพทย์เชิงชาติพันธุ์ หรือ Ethnomedicine

ส่วนใหญ่แล้ว นักวิชาการกลุ่มนี้ จะเน้นการศึกษาไปที่บรรดาสมุนไพร ทั้งแบบผสมกันหลายชนิด หรือชนิดที่สกัดมาจากพืชชนิดเดียว ซึ่งเคยใช้ หรือยังคงใช้อย่างแพร่หลายในประเทศต่างๆ ซึ่งบรรดานักวิชาการเหล่านี้เห็นว่าหากนำ “ของขวัญ” จากธรรมชาติเหล่านี้ มาพัฒนาต่อยอด ก็อาจจะกลายเป็นเครื่องมือสำหรับป้องกันหรือรักษาโรคร้ายต่างๆ อย่างได้ผลมากขึ้น โดยเจ้าของบทความชิ้นนี้บอกด้วยว่าแม้การแพทย์ทางเลือก จะยังไม่แพร่หลายมากนักในโลกซีกตะวันตก แต่ก็เห็นได้ชัดว่าแรงต้านต่างๆ ได้ลดอย่างมาก เห็นได้จากมีบทความเชิงวิชาการเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกเผยแพร่กันอย่างมากมาย

โดยเอกสารวิชาการฉบับล่าสุดที่ถูกนำออกเผยแพร่ มาจากทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตซานฟราน ซิสโก (UCSF) ที่เพิ่งมีการนำออกเผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นการศึกษายาสมุนไพรที่คนไทยเราใช้รักษาโรคท้องร่วงอย่างได้ผลมานานนับร้อยปี... ยาชนิดนั้นมีชื่อเรียกว่า “กฤษณากลั่น”
เอกสารจากห้องแล็ปของยูซีเอสเอฟ พูดถึงยากฤษณากลั่นด้วยว่าเป็น “ที่พึ่ง” ของคนไทยย้อนไปได้ไกลถึงปี 1913 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ 6 โน่น โดยพูดถึงเหตุการณ์เมื่อสมาชิกกองเสือป่าของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 เกิดป่วยด้วยโรคบิด มีอาการท้องร่วงรุนแรงระหว่างการซ้อมรบท่ี่จังหวัดนครปฐม แต่เสือป่าทั้งกองหายจากโรคร้ายอย่างรวดเร็ว หลังได้ยาสมุนไพร “กฤษณากลั่น ตรากิเลน” ของผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรที่นั่น

ที่บทความละเอาไว้ไม่พูดถึงก็คือว่า หมอสมุนไพร เจ้าของยากฤษณากลั่น ตรากิเลน คือ นายแป๊ะ ชาวจีนที่นำเอาตำราสมุนไพรแก้ท้องร่วงติดตัวมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร และเมื่อทรงทราบ รัชกาลที่ 6 ทรงพระราชทานเข็มเสือป่าเป็นรางวัลให้กับนายแป๊ะ รวมถึงทรงเขียนแนะนำให้ใช้ยากฤษณากลั่น ในพระราชนิพนธ์กันป่วยด้วย และต่อมาก็ได้ทรงพระราชทานนามสกุล “โอสถานุเคราะห์” ให้กับนายแป๊ะใช้สืบต่อวงศ์ตระกูลกันมาจนถึงวันนี้

บทความของคุณเจสัน เททโทร บอกต่อไปว่า จากการวิจัยโดยการใช้ยากฤษณากลั่นกับหนูในห้องทดลองครั้งนี้ ทำให้ได้สมมุติฐานที่น่าเชื่อถือว่า ตัวยามหัศจรรย์ ที่ได้จากต้นกฤษณาตัวนี้ มีสรรพคุณหลักๆ สองอย่างในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการท้องร่วง หนึ่งคือการควบคุมไม่ให้ร่างกายสูบฉีดของเหลวจากเซลล์ไปยังลำไส้ และสองคือมีสรรพคุณในการป้องกันการบีบตัวของหลอดอาหาร (peristaltic push)
บทความสรุปในย่อหน้าสุดท้ายว่า ผลการศึกษายาสมุนไพรของไทยเราในห้องแล็ปของสถาบันการศึกษาระดับหัวแถวของอเมริกาครั้งนี้ ไม่เพียงแค่สร้าง “ความหวัง” ให้กับกลุ่มคนที่อยากจะป้องกันหรือรักษาอาการท้องร่วงโดยวิธีทางธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังสร้างความยอมรับให้เกิดขึ้นกับ “การแพทย์เชิงชาติพันธุ์” มากขึ้น

คุณเจสัน เททโทร บอกว่าไม่ช้าก็เร็ว การแพทย์แผนตะวันตกที่เคยทนงตัวเองว่าลำ้เลิศเหนือใคร จะต้องหันมามองการแพทย์ทางเลือกมากขึ้น เพราะปัญหาสารพัดชนิดกำลังก่อตัว เช่นปัญหาเชื้อโรคดื้อยา (antibiotic resistance), ปัญหาการเพิ่มขึ้นของโรคเรื้อรัง (chronic illness) ประเภทต่างๆ ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการพัฒนายาตัวใหม่ๆ หรือค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคก็ถีบตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น แนวคิดในการกลับมาศึกษาทำความเข้าใจกับวิธีการรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยที่ใช้กันมาแต่โบร่ำโบราณจึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด...

ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าการค้นพบของยูซี ซานฟรานฯ หนนี้ จะมีผลอย่างไรต่อไป จะถึงขั้นมีการผลิตยาแก้ท้องเสียจากต้นกฤษณา ซึ่งมีอยู่เฉพาะในเอเชียออกจำหน่ายที่นี่อย่างเป็นเรื่องเป็นราวหรือไม่...

แต่ที่แน่ๆ เราเชื่อว่าหลังจากที่เอกสารวิชาการชิ้นนี้ถูกเผยแพร่ออกไปในวงกว้างแล้ว... ยากฤษณากลั่น ตรากิเลน ของโอสถสภาเต็กเฮงหยู ตามแผงยาในตลาดไทยทั่วอเมริกา 



Thursday, 12 June 2014

กำไลข้อมือทองคำของไทย สมัยโบราณ Ancient Gold Jewelry,Antique bracelet


        กำไลข้อมือทองคำของไทย สมัยโบราณ                  Ancient Gold Jewelry,Antique Bracelet

Antique bracelet กำไลข้อมือทองคำสมัยโบราณ งานช่างฝีมือการทำทองคำของไทยในสมัยก่อนนั้น ไม่ค่อยจะมีให้ได้เห็นอีกแล้วในขณะนี้ ความปราณีต ละเอียดอ่อน ความอุตสาหะ งานที่สร้างสรรค์ งดงามให้กับผู้สวมใส่และผู้พบเห็น มันต้องใช้เวลาที่ยาวนานกว่าจะออกมาแต่ละชิ้นงานทองคำ มันช่างลำบากยากแสนสาหัส  การสร้างชิ้นงานทองคำในสมัยก่อนยึดถือตามความเชื่อมาจากศาสนาฮินดู ที่เกี่ยวกับโชค ลาง ของขลังจากช้าง ในการดำรงชีวิตในป่าเขา แม้แต่ศึกสงคราม ช้างมีอิทธิพลสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะเท้าช้างทั้งสี่ขา จำเป็นต้องมีการดูแลอย่างดี กำไลข้อเท้าช้างเป็นแรงบันดาลใจในทุกชนชั้นของสังคมไทย


ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ช่างทำทองจะสามารถสร้างจินตนาการสร้างกำไลข้อมือทองคำ ต้องได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษอันยาวนานกว่า 200 ปีที่ผ่านมา คุณค่าของงานฝีมือ ค่าเก็บรักษาชิ้นงานกำไลข้อมือทองคำนี้ ไม่อาจจะตีราคาในปัจจุบันนี้ว่า มันสมควรมีราคากี่ล้านบาท แค่เพียงคุณได้มีโอกาสได้เห็นมันแล้ว นับเป็นสิ่งล้ำค่าแก่ดวงตาสองข้าง 



กำไลข้อมือทองคำบางชิ้นจะยังยึดติดให้ช่างทองคำสร้างชิ้นงานใกล้เคียงกับความเชื่อทางศาสนา มีการเพิ่มสีสันร่วมกับทองคำ เช่นสีน้ำเงิน สีแดงดังภาพที่เห็นด้านล่าง ช่วยสร้างสีสรรค์ ความอลังการ ความยิ่งใหญ่ ใครก็ตามได้สวมใส่ในยามราตรี น่าเสียดายอย่างมากสำหรับกำไลข้อมือทองคำชิ้นนี้ ไม่มีใครโชคดีที่ได้สวมไส่กำไลข้อมือทองคำนี้เป็นเวลายาวนานมากกว่า 200 ปี ไม่แน่ใจว่า กำไลข้อมือทองคำชิ้นนี้ทำขึ้นมาจากช่วงต้นสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่รูปแบบศิลปคล้ายกับสมัยสุโขทัย  


ราคาทองมีขึ้น มีลง แต่รูปแบบทองคำหรือศิลปการทำทองคำไม่มีขึ้นและลง กลับสูญหายไปสิ้น ที่เห็นอยู่ขณะนี้ทั้งในและนอกประเทศทั่วโลก ชิ้นงานที่ออกมาขนาดใหญ่เทอะทะ ขาดจิตวิญญาณ ไร้วัฒนธรรม  



ข้อมูลอ้างอิง Ref.



ครั้งต่อไป สร้อยคอทองคำสมัยโบราณ Anecklace gold 




Tuesday, 3 June 2014

Lampang Travel ,Bag while in the northern Lampang province of Thailand.

Lampang Travel,Bag while in the northern Lampang province of Thailand.


TechnoCMS

ถึงแม้จะมีเหตุการณ์รัฐประหาร ในเดือน พฤษภาคม 2014 ทำให้คิดถึงจังหวัดลำปาง
ตำรวจ ทหารยังเข้ม ด่านตรวจสำคัญทั้ง 5 จุดทั่วเมืองลำปาง ไร้กลุ่มม็อบต่อต้าน
พลตรีอุกฤษณ์ อากาศวิภาต ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย มณฑลทหารบกที่ 32 (ผบ.มทบ.32) พร้อมคณะ ได้ออกตรวจพร้อมมอบน้ำดื่มให้กับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานตามจุดตรวจต่าง ๆ หลังจากที่ได้มีการจัดกำลังเพื่อป้องกันเหตุ การชุมนุมของมวลชนที่อาจจะรวมตัวออกมาต่อต้าน ในวันนี้
โดยจุดแรก ได้เข้าตรวจที่ศาลากลางจังหวัดลำปาง ตรึงกำลังกว่าร้อยนาย ทั้งตำรวจ และ อส. โดยในวันนี้ ศาลากลางจังหวัดลำปางได้เปิดประตูเพียงหนึ่งประตูเพื่อใช้ในการเข้า-ออกเท่านั้น หลังจากนั้นทางคณะได้ออกตรวจจุดที่เข้าออก กฟผ.แม่เมาะ ถือว่าเป็นจุดสำคัญและเสี่ยงภัยอีกแห่งหนึ่ง รวมถึงจุดเข้า-ออกตัวเมืองลำปาง ได้มีการตั้งจุดตรวจเข้มทั้งหมดรวม 5 จุด
สำหรับบรรยากาศโดยทั่วของจังหวัดลำปางในวันนี้เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ไม่มีกลุ่มผู้ต่อต้านออกมารวมตัวหรือออกมาต่อต้านการทำรัฐประหารแต่อย่างใด ผบ.มทบ.32 ได้ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายในการทำงานพร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มงวดกวดขันและอดทน เพื่อให้บ้านเมืองกลับมาสู่ความสงบสุขโดยเร็ว


สะพายกระเป๋าท่องเที่ยวในภาคเหนือของประเทศไทย มกราคม 2014 หลายคนชอบไปจังหวัดเชียงใหม่ แต่มันน่าเบื่อที่รถมาก หาธรรมชาติก็ไกลเกิน ค่าใช้จ่ายก็ดูจะแพง จึงเลือกมาจังหวัดที่ใกล้เคียง สภาพทิวทัศนบ้านเรือนน่าดูมาก ก็เริ่มออกเดินทางโดยรถบัสทัวร์แบบไม่หรูหรา ราคาปานกลาง ประมาณ 25 เหรียญดอลล่า 
รถบัสทัวร์วิ่งไปแบบจอดตามสถานีในเมืองต่างๆระหว่างทางเพื่อรับคนโดยสาร เราสามารถมองสภาพข้างทางอย่างสะดวก แต่ใครเมารถโดยสาร ไม่อยากแนะนำ เริ่มออกเดินทางแต่เช้ามันเหมาะสำหรับวัยกลางคน ไม่นิยมเวลาค่ำ ด้วยสภาพภูมิอากาศที่ค่อนข้างเย็น จะออกแต่เช้าตรู่ก็ไม่ดี มีหมอกมากเกินไป 



ถึงสถานีขนส่งจังหวัดลำปางก็เกือบจะค่ำ ครั้งแรกที่มาถึงก็ตรงไปหาโต๊ะเจ้าหน้าที่เพื่อขอแผนที่ตัวเมืองนครลำปาง คุณจะหาที่พักในเมืองที่เป็นโรงแรมหรูหรา มันจะอยู่ไม่ไกลจากสถานีขนส่งมากนัก เลือกใช้รถเล็กสีแดงรับจ้างก็น่าสะดวก สายตามองแผนที่ตัวเมืองจังหวัด ขอไปพักริมแม่น้ำวังน่าสนใจดี มีบ้านโฮมสเตเล็กๆ บ้านโบราณเก่า มีชาวต่างชาติพักอาศัย ดูอาจจะน่าสนใจสำหรับใครที่ไม่เคยอยู่บ้านไม้โบราณ สำหรับผมไม่ตื่นเต้นมากนัก ครึ่งชีวิตของผมคุ้นเคยกับการอยู่กับของโบราณ บ้านไม้แบบนี้มาก่อน 


มันดูน่ากลัวสำหรับใครบางคนที่ไม่คุ้นเคยการพักบ้านเรือนไม้ สำหรับผมไม่หวาดกลัว แต่เห็นข้อบกพร่องที่เป็นอันตรายอย่างมากก็คือระบบไฟฟ้า บ้านเรือนไม้ที่ผมเคยอยู่นั้น ทุกๆ 15 ปีจะต้องเปลี่ยนสายไฟฟ้าภายในบ้านใหม่หมด  เพื่อความปลอดภัย บ้านรอบข้างเรามักจะสร้างปัญหาให้เดือดร้อน ไฟฟ้าช๊อตลัดวงจร บ้านไม้โบราณมีอันต้องสูญพันธ์ 



ที่พักโฮมสเตติดแม่น้ำวัง ปริมาณน้ำลดน้อยลงอันเนื่องมาจากเดือนมกราคม อากาศหนาวเย็น ราว 14 องศาเซลเซียส ไม่หนาวเท่าไรสำหรับชาวต่างชาติ แต่สำหรับผมที่ใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ มันเย็นพอสมควร มองไปโดยรอบ ไม่มีคนไทยพักนอกจากผมคนเดียว 


ในช่วงค่ำคืนริมแม่น้ำวัง ดูสวยงามแต่ก็มีข้อเสียบ้าง ยุงมันมากในสภาพอากาศเย็น น่าแปลกใจนักหนา ชาวต่างชาติก็ยังนั่งวาดภาพ อ่านหนังสือ สนทนากันได้ 

คิดจะใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อเข้าหาสถานที่โดยใช้ GOOGLE MAP โชคดีที่โฮมสเต จัดแผนที่ให้มาอีกหนึ่งแผ่น เดินชมเมืองลำปางไม่หลงทางแน่นอน จุดเริ่มแรกมาให้ถึงเมืองลำปาง ต้องรู้ว่า รถม้าเป็นความหมายสำหรับที่แห่งนี้ 



เที่ยวแบบไม่มีรถขับ ก็ต้องจ้างรถสองแถวสีแดงไปดูวัฒนธรรมประจำใจของคนในท้องถิ่น วัดถือเป็นวิถีหลักของคนดั่งเดิม มาเที่ยวแห่งหนใดย่อมเข้าใจ เข้าให้ถึงประวัติศาสตร์ วัดแรกที่ใกล้ที่สุด วัดดอนเต้า ราคาเหมารถไม่แพงอย่างที่คิดล่วงหน้า

ได้มีโอกาสถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน มีมือช่วยถ่ายรูปเป็นคนขับรถรับจ้าง รถที่รับจ้างก็มีอายุเก่าแก่ เป็นรถกะบะ อายุใช้งานมาไม่น้อยกว่า 40 ปี แต่สภาพยังดูแลรักษาอย่างดี ขอบอกก่อนว่า คุ้นเคยขับรถรุ่นนี้มาก่อน มันเหนื่อยล้าช่วงบังคับรถเลี้ยวเมื่อเดินทางไกล

วัดอายุกว่าพันปี

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87


http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87


วัดพระเจดีย์ 20 หลัง น่าแปลกดีนัก ไม่พลาดที่ต้องมาให้ถึงที่ให้เห็นกับสายตา ที่ว่าแปลกดีนั้น การสร้างพระเจดีย์จำนวนถึง 20 หลัง มันมากเอาการอยู่ แสดงว่าเศรษฐกิจในยุคนั้นต้องเจริญรุ่งเรืองขีดสุดยอด  

 ในทุกๆวันอาทิตย์ จัดให้ถนนริมแม่น้ำวัง เป็นถนนคนเดิน ห้ามรถสัญจรในตอนเย็น พ่อค้าแม่ค้าเริ่มตั้ง ตกแต่ง วางสินค้า พื้นบ้าน อาหาร เครื่องใช้ไม้สอย บางช่วงก็มีดนตรีพื้นบ้าน รับประกันการเดินชมไม่เหนื่อย ดูเพลิดเพลินสะดุดตา นักท่องเที่ยวชาวจีนดูมากเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าพักกันอยู่แถบใด
ความเก่าแก่ของบ้าน สถาปัตยกรรมแบบผสมผสาน เจ้าของบ้านก็ยังนิยมค้าขายสินค้าแบบโบราณเหมือนเดิม อย่างที่เคยบอกข้างตน ที่น่ากลัวก็เห็นจะเป็นสายไฟฟ้า การก่อสร้างรูปแบบนี้ ในส่วนตัวแล้วอายุก็ราว 100 ปีเศษขึ้น ลักษณะเป็นแบบบ้านเพื่อการค้าขาย 

เรือนไทย หลังคาแบบสามเหลี่ยม กระเบื้องมุงหลังคาก็น่าหายากที่มาทดแทน ในความเป็นจริงของบ้านหลังคาแบบนี้สมัยก่อนจะยกสูง ที่ลดระดับลงเห็นจะมาจากการถมดินทำถนน สำคัญแมลงปลวกเป็นทำลายอย่างดี อันเนื่องมาจากใกล้ริมแม่น้ำ  


หน้าต่างออกแบบป้องกันฝนตกหนัก ไม่ค่อยจะได้เห็นหน้าต่างแบบนี้ เรียกว่า หน้าต่างบานกระทุ้ง วังสมัยก่อนนิยมหน้าต่างแบบนี้ที่เห็น 



ลายฉลุบนขั้นบันได บ้านลักษณะนี้ คงจะต้องมีคนรับใช้ ดูแลบ้าน เจ้าของบ้านมุ่งหวังให้มองเห็นทั่วทุกมุมบ้าน อาจจะให้แสงตัดผ่านลายฉลุ ดูให้สวยงาม สมกับฐานะที่สูงของเจ้าของบ้าน ที่จับข้างและหัวของบันได อายุก็ราว ร้อยกว่าปี ยกเว้นพื้นก้าวขึ้นบันไดเป็นของใหม่

ทางเข้าบ้านริมแม่น้ำในสมัยโบราณ มีที่นั่งเล่นรับลม น่าเสียดายไม่มีเรือลอยลำให้เห็นแม้แต่ลำเดียว แม่น้ำวังดูเหมือนอ้างว้างไร้เรือวิ่ง น้ำก็นิ่งตามฤดูกาล


เฟอร์นิเจอร์ ตกแต่ง เก้าอี้นั่ง หีบสมบัติ อายุไม่น้อยกว่า 150 ปี ยอมรับว่าเป็นของจริงทั้งชุด น่าจะมีการแต่งช่วยให้มันแข็งแรงกว่าเก่าแน่นอน 


สะพานข้ามแม่น้ำวัง เชื่อมสองฝั่ง อายุไม่น่าจะต่ำกว่า 150 ปี จึงได้ลอกเลียนหาประวัติมาให้ชมกัน

งานรำลึกประวัติศาสตรสะพานรัษฎา 

สะพานรัษฎา หรือ สะพานขาว ตั้งอยูที่
ถนนรัษฎาเปนสะพานขามแมน้ําวงั ตั้งอยูใน ต.หัวเวียง
อ.เมืองลําปาง จ. ลําปาง เดิมเปนสะพานโครงสรางไม ที่
ทางเจาผูครองนครลําปาง และชาวจังหวัดลําปางได
จัดสรางขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ ในวาระที่พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกลาเจาอยหู ัวฯ 
รัชกาลที่ ๕ ในโอกาสที่พระองค
ครองราชยครบ ๒๕ ป ในป พ.ศ. 
๒๔๓๗ 

 ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๑ 
และครั้งที่ ๒ ไดทาสีพรางตาม
และดวยการอางวาสะพานแห่งนี้
ไมมีประโยชน์ทางยุทธศาสตรจึง
รอดจากโจมตีทิ้งระเบิดมาได 
หลังจากนั้นได้มีการกอสรางใหมเมื่อเดือนมีนาคม ๒๔๖๐ 
เปนสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก บริเวณสะพานมี
เครื่องหมายไกขาว และครุฑหลวงประดับไว้ตรงหัวสะพาน 

สะพานรัษฎาภิเศก ยังทําหนาที่สัญลักษณของ
เมืองลําปาง ในฐานะของ “ขัวสี่โกง (สะพานสี่โคง)” “ขัว
หลวง (สะพานใหญ)” “ขัวขาว (สะพานขาว)”  
ในป ๒๕๕๒ เทศบาลนครลําปาง จึงไดกําหนดจัด
งาน “รําลึกประวัติศาสตรสะพานรัษฎาภิเศก ครบ ๙๒ ป 
ตอน แอวขัวหลวงรัษฎาฯ ... เมื่อคราวศิลปะผลิบาน” ใน
วันที่ ๒๘ - ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๒ ตั้งแตเวลา ๑๗.๐๐ น. 
ถึง เวลา ๒๒.๐๐ น. โดยมีวัตถุประสงคเพื่อสงเสริมให
ประชาชนได้เรียนรู้ความเปนมาของสะพานรัษฎาภิเศก ซึ่ง
มีความสําคัญตอประวัติศาสตรและวิถีชีวิตของชาวลําปาง
ตั้งแตอดีตจนถึงปจจุบัน 
และเพื่อเปดพื้นที่ทาง
ศิลปะใหแกเยาวชนลาปาง 
ไดมีโอกาสสรางสรรค 
แสดงและเสพผลงาน
ศิลปะ ซึ่งกิจกรรมภายใน
งาน ประกอบดวยเยาวชน
ลําปางไดมีโอกาส
สรางสรรค แสดงและเสพ
ผลงานศิลปะ ซึ่งกิจกรรม
ภายในงานประกอบดวยการแสดงละครประกอบแสง สี 
เสียง การเสวนา นิทรรศการเกี่ยวกับสะพานฯ การแสดง
ดนตรีพื้นเมืองและรวมสมัย การแสดงทางศิลปวัฒนธรรม 
กาดหมั้วครัวงาย   



เครื่องมือที่นำเข้าเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ตั้งเป็นสถาปัตยกรรมในสวนของที่พัก

ศิลปินเด็กวัดภาพที่ตลาดนัดคนเดิน 
  
ตั้งใจพักที่ลำปางสัก 3 - 4 วัน เตรียมเงินไว้ค่าห้องพักคืนละ 800 บาทต่อคนรวมค่าอาหารเช้า เป็นอันต้องผิดหวัง พี่สาวโทรมาให้รีบกลับ ไม่มีใครเฝ้าบ้านที่กรุงเทพฯ น่าเสียดายอย่างมากได้มาทางเหนือเพียง 10 วันเท่านั้น 

          คราวหน้ามีแผนที่จะล่องลงทางใต้ของประเทศไทยแน่นอน ไปหมู่เกาะที่มีชื่อเสียงที่สุด เกาะภูเก็ต สะพายเป้แบกกระเป๋าเช่นเคย เห็นที่พักแล้วเข้าท่า เข้าทางดี  ราคาห้องไม่แพงนัก ได้ข่าวว่าที่นั่นสวยงามมาก เคยไปที่นั่นเมื่อ 30 กว่าปีที่ผ่านมา   


https://plus.google.com/112187276847058864874/posts/X7GBzG1P5ih 

SEAHORSEPHUKET